บทที่ 1 สาวบ้านนอกในอเมริกา
“Wow this is so good”
สาวน้อยผิวสีน้ำผึ้ง นัยน์ตาสีดำขลับ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ร่างปราดเปรียวหันมองทุกสิ่งรอบตัวอย่างตื่นเต้น ขณะที่กางแขนออกหมุนไปรอบ ๆ ราวกับนักเต้นบัลเล่ต์
“เรียม ! เรียมมมมม หยุดโซกูด ! ไหนคนที่บอกว่าจะมารับ ?”
สาวอีกคนลากกระเป๋าเดินทางใบโตตามหลังด้วยทีท่ากระฟัดกระเฟียด ใบหน้าสีขาวขึ้นสีแดงจัด ! แม้จะรูปร่างสูงกว่าผู้หญิงอีกคนหากแต่ว่าไม่คล่องแคล่วว่องไวเท่ากับสาวน้อยผิวสีน้ำผึ้ง
ด้วยความที่ตนเป็นลูกสาวเจ้าของตลาดรายได้หลักของครอบครัวมาจากการเก็บค่าเช่าแผงและเปิดร้านขายของชำ แต่เพื่อนสาวผู้ที่ตื่นเต้นกับทุกสิ่งรอบตัวเป็นเพียงลูกสาวแม่ค้าขายส้มตำในตลาดของตน ดังนั้น แม้จะเป็นเพื่อนที่วิ่งเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก รวมถึงเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันแต่หล่อนกลับรู้สึกเสมอว่า เธอเหนือกว่าเพื่อนสาวทุกด้าน
“Oh Something slips my mind !”
สาวสีน้ำผึ้งหุบแขนลงทันควัน หันซ้ายหันขวาเลิ่กลั่ก เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตนและเพื่อนเพิ่งจะมาเหยียบอเมริกาเป็นครั้งแรก โดยได้รับคำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะจากป้าเดือนว่าลูกสาวของเธอจะส่งคนมารับพวกหล่อนที่สนามบินทันทีที่ไปถึง
“เรียม ! แกคุยกับฉันแค่สองคน ไม่ต้องสปีกอิงลิงซ์ก็ได้ !”
เพื่อนสาวเริ่มหงุดหงิดเพราะเหนื่อยล้าจากการนั่งเครื่องบินข้ามภูเขาข้ามทะเลจากบ้านเกิดมาไกลถึงอีกซีกโลกหนึ่ง ต้องทนนั่งเครื่องบินนานกว่า 22 ชั่วโมง !
“I’m so sorry”
สาวผิวสีน้ำผึ้งรีบตะคุบปากตัวเองที่เผลอพูดภาษาอังกฤษออกมา เพื่อนสาวถึงกับส่งค้อนวงใหญ่ให้ แต่คนปากไวก็ลดเสียงลงพร้อมกับเอ่ยเป็นภาษาบ้านเกิดแทน
“โอ๋ ๆ ชะเอม หมู่ฮักหมู่แพง เฮาขอโทษ”
“ยะ ! แล้วกรุณาเรียกฉันว่า –เอ็มมี่- บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าเรียกชะเอม มันเชย !”
คนถูกเรียก “ชะเอม” ส่งค้อนให้เพื่อนตัวดีอีกรอบ โทษฐานที่ชอบเรียกชื่อเฉย ๆ ออกมา
แม้หล่อนจะเป็นคนอีสานเหมือนกับเพื่อนสาว แต่เมื่อเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ หล่อนก็บอกกับเพื่อนๆ ทุกคนว่าชื่อ “เอ็มมี่” และปฏิบัติตัวเยี่ยงคุณหนู ใช้ของแบรนด์เนม เดินห้างจับจ่ายซื้อเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าแทบทุกสัปดาห์ นับตั้งแต่นั้นมา เอ็มมี่ก็ไม่เคยพูดภาษาอีสานอีกเลย
ซึ่งต่างจาก “นางสาวเรียม ขวัญนา” ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหล่อนก็ยังคงชอบพูดอีสานเหมือนเดิม รวมถึงการเป็นหญิงสาวที่มีพลังอย่างเหลือเฟือ
ร่างบอบบางผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดนั้นไม่รู้เจ้าหล่อนเก็บพลังไว้ที่ไหนมากมาย การเดินทางรอนแรมไม่ทำให้เพื่อนสาวแสดงท่าทีเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย ซึ่งตรงกันข้ามกับเธอที่อยากจะเข้าที่พักใจแทบขาด ยิ่งมองเห็นฝรั่งตัวโตทั้งผิวดำผิวขาวเดินกันขวักไขว่ละลาน ยิ่งทำให้รู้สึกมึนๆ ในหัว มองไปทางไหนก็มีแต่สิ่งที่ใหญ่โตกว่าบ้านเมืองที่หล่อนจากมา
“ป้าเดือนบอกว่า เอื้อยดาวสิมาฮับอยู่สนามบิน”
เสียงแจ้ว ๆ ภาษาอีสานของเรียมบอกกับเพื่อนให้วางใจ เพราะป้าเดือนเจ้าร้านขายน้ำปั่นที่อยู่ข้างร้านส้มตำของหล่อนเป็นคนแนะนำให้หล่อนและเพื่อนมาทำงานกับลูกสาวของตนที่อเมริกา
ป้าเดือนแกสาธยายไว้เสียเยอะว่า นังดาวมันส่งเงินกลับมาให้แกเดือนละหลายหมื่น ร้านใหม่ บ้านใหม่ ก็เพราะเงินของลูกสาวแก และเด็กสาวหลายๆ คนในหมู่บ้านที่ถูกชักชวนให้ไปทำงานกับลูกสาวแกก็เริ่มทยอยส่งเงินกลับมาให้พ่อแม่ที่บ้านนอก
ดังนั้น เมื่อเรียมจบปริญญาตรีแล้วยังหางานทำไม่ได้ แม่จึงฝากฝังหล่อนให้ไปทำงานกับลูกป้าเดือน โดยป้าเดือนจะเป็นคนดำเนินการให้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นวีซ่า ตั๋วเครื่องบิน หรือแม้กระทั่งเรื่องที่อยู่ที่กินที่อเมริกา
“ไหนหล่ะ ? พี่ดาว ฉันไม่เห็นใครจะหน้าตาเหมือนคนไทยสักคน มีแต่ฝรั่งตัวเหม็น ๆ”
เอ็มมี่กระทืบเท้าอย่างขัดใจ นี่ถ้าอยู่เมืองไทยหล่อนคงจะแล่นกลับไปนอนตากแอร์ที่บ้านเสียนานแล้ว ถ้าไม่เพราะอยากจะได้ชื่อว่า “ได้ทำงานที่อเมริกา” หล่อนก็คงไม่เสนอตัว ขอมาทำงานเป็นเพื่อนยัยเรียมคนซื่อหรอก !
“ใจฮ่ม ๆ เด้อคุณเอ็มมี่ เอ๊ะ ! นั้น ! แมนเอื้อยดาวบ่ ? เอื้อยดาว ! เอื้อยดาว ! ทางนี้ ๆ”
เรียมโบกไม้โบกมือตะโกนเรียกสาวสวยสุดเซ็กซี่ในชุดลายเสือภายใต้เสื้อโค้ทหนังสีดำวาว
เอ็มมี่ยกมือขึ้นขยับแว่นตากันแดด แล้วก้าวห่างออกจากเพื่อนสาวที่ส่งสำเนียงอีสานตะโกนโหวกเหวก แม้ว่าจะอยู่ในอเมริกาที่ไม่มีใครรู้จักหล่อนก็ยังรู้สึกกระดากอายอยู่ดี หากต้องยืนใกล้ ๆ เพื่อนสาวที่ออกอาการราวกับบ้านนอกเข้าเมือง
“Hi ! เรียม !”
สาวผิวสีแทนออกคล้ำกว่า ทรวดทรงใหญ่โตมหึมากว่าสาวน้อยที่ยืนโบกมือ ส่งเสียงทักทายเมื่อเดินมาถึง
“เอื้อยดาว ! เอื้อยดาวอีหลีตั๋วนิ !”
เรียมโผเข้าจับมือเรียวที่เต็มไปด้วยแหวนทอง พลางเขย่าอย่างดีใจที่ได้พบคนบ้านเดียวกันในต่างแดน
“ยินดีต้อนรับสู่แดนศิวิไลซ์ ที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่ง ! และทุกอย่างที่เราอยากได้ !”
ดาวยิ้มต้อนรับวางมืออีกข้างทับลงที่มือเด็กสาว ที่จะกลายเป็นพนักงานคนใหม่ของ “ร้านสปาแดนสรวง” ในอีกไม่กี่ชั่วโมง
“ขอบใจเอื้อยดาวหลายๆ ที่ให้ข้อยมาทำงานนำ”
เรียมยิ้มจนเห็นฟันซี่เล็ก ๆ เรียงเป็นระเบียบ
“ไม่เป็นไรจ้ะ ก็คนเป็นเดียวกัน มีอะไรดี ๆ พี่ก็อยากให้แนะนำน้อง ๆ ให้ทำด้วย เอ่อไหนว่ามากันสองคนแล้วอีกคนไหนหล่ะ ?”
“คาแต่ดีใจ ลืมไปเลยจ้า เอ้า ! เอ็มมี่มานี่ มานี่”
เรียมก้าวฉับ ๆ ไปดึงมือเพื่อนสาวให้เข้ามาอยู่ในวงสนทนา
“เอ็มมี่ ลูกสาวป้าชบาเจ้าของตลาดใช่ไหม ?”
“ค่ะ”
ลูกสาวเจ้าของตลาดตอบสั้น ๆ สำรวจคู่สนทนาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเบ้ปากพลางคิดในใจ –โถ ๆ มาอยู่อเมริกาตั้งนาน รสนิยมการแต่งตัวได้เท่านี้ ฉันยังดูดีกว่าตั้งเยอะ- หญิงสาวกระชับเสื้อคลุมสีน้ำตาลแต่งขนสัตว์ฟูฟ่อง เชิดหน้าขึ้น
“โตขึ้นแล้วหน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวขาวสวยเหมือนกันนะเรานิ”
สาวอาวุโสกว่าพินิจสาวน้อยที่แสนจะยโสตรงหน้า ก็สมควรอยู่หรอกที่หล่อนจะถือตัว เพราะเอ็มมี่เป็นถึงลูกสาวเจ้าของตลาด
“ขอบคุณค่ะ”
เอ็มมี่ยิ้มรับน้อย ๆ ชอบที่จะให้คนชมว่าสวย
“แต่ขาว ๆ แบบนี้ฝรั่งเขาไม่ชอบหรอกนะ เขาชอบผิวเข้ม ๆ แบบนางเรียมนี่”
ดาวเอ่ยต่อท้าย
เอ็มมี่แทบจะหุบรอยยิ้มแห่งความภูมิใจในความสวยไม่ทัน ปากบางเชิดขึ้น เม้นสนิทสะกดอารมณ์ที่อยากจะกรีดใส่หญิงสาวตรงหน้า อย่างไรเสียหล่อนก็ต้องพึ่งพาผู้หญิงคนนี้จนกว่าจะหางานที่ถูกใจได้ และหลอนจะทนแค่ไม่นาน คนอย่างเอ็มมี่ ลูกสาวเจ้าของตลาดจะไม่ยอมทำงานในร้าน สปาเป็นพนักงานชั้นต่ำเหมือนกับเรียมเป็นแน่ !
